Update USN และ USDD: Stablecoin ที่อัพเกรดตัวเองให้ดีกว่า UST (แต่ก็เฟล)
สวัสดีครับ ตอนนี้มีเรื่องมาอัพเดทสั้นๆ ก่อนจะเขียนบทความยาวเกี่ยวกับ Terra Classic ให้อ่านนะครับ นั่นก็คือเจ้า Algorithmic Stablecoin 2 เหรียญที่ผมเคยรีวิวไปแต่ตอนนี้ยังคงรักษาราคา 1 ดอลลาร์ได้อยู่ ก็เลยจะมาอัพเดทสั้นๆให้ฟังว่าทำได้อย่างไร และตอนนี้มีอัพเดทอะไรให้ฟังบ้างนะครับ
1. USDD — TRX
เป็น Algorithmic Stablecoin ที่แก้ข้อเสียเรื่อง Reserve ของ UST ครับ โดยจุดอ่อนของ UST คือ
- การมี BTC เป็นเงินในคลัง ถ้าตลาดตกพวกนี้ก็ตกด้วยและยังเป็นเป้าโจมตีให้คน Short BTC และ Luna รอไว้เพื่อถึงคราวที่ Algorithm อุ้ม UST ไม่ไหวก็ต้องเทขายเหรียญในคลัง
USDD จึงเปิดตัวว่านอกจากจะใช้ TRX และ BTC เป็นเงินสำรองในคลัง ยังเพิ่ม USDC และ USDT ในคลังด้วยครับ ก็เลยมั่นใจได้มากขึ้นว่าเงินสำรองในคลังจะไม่ได้หายไปกับตลาด ซึ่งจริงๆคนอาจจะกลัวว่ามันก็ยังหายได้นิ่? มาดูอีกข้อที่อัพเกรดครับ
- UST พึ่งพา Algorithm เป็นหลัก ซึ่งในตอนหลังเพิ่ม BTC เข้ามาส่วนหนึ่งแต่ก็ยังไม่สามารถ Cover ได้ถึง 5% ของ UST Total Supply ในตอนที่ยังไม่แตกได้เลย ซึ่งจริงๆแล้วต้องพูดกันตรงๆว่า Reserve ที่มีมูลค่าน้อยกว่า UST ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเพราะไม่ใช่ Fully หรือ Over-Collateral โมเดลแบบ USDC กับ DAI แต่นั่นแหละครับคือจุดอ่อนเพราะถ้า Algorithm เอาไม่อยู่จริงก็
มูลค่าเหลือแค่เท่าที่มีในคลังครับ
เช่น Iron ที่เหลือแค่ 0.75 ดอลลาร์เพราะมี USDC อยู่เท่านั้น ส่วน Titan เหลือ 0 ดอลลาร์
USDD จึงเปิดตัวว่าตัวเองมีสินทรัพย์ค้ำประกันแบบ Over-Collateral ครับ โดย USDD Total Supply มีทั้งหมด 723m แต่เงินในคลังมีถ้านับแค่ USDC และ USDT ก็อยู่ที่ 1,170m! บ้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับ BTC กับ TRX ที่มูลค่ารวมกันก็ประมาณ 1,113m เข้าไปแล้ว
ซึ่งตอนแรก USDD ไม่ได้มี USDT มาก่อนเลยครับ แต่มาเพิ่ม 1,000m USDT ทีหลังตอน UST เริ่มแตก ก็ถือว่าเป็นวิธีการเพิ่มความมั่นใจได้ดีมาก แต่วนกลับมาคำถามเดิมเลยครับ
แล้วอย่างนี้จะบอกว่าตัวเองเป็น Algorithmic Stablecoin ไปทำไม?? เพราะไม่มีการ Burn USDD และ Mint TRX กลับมาตามโมเดลที่ควรจะเป็นเลยครับ USDD มี 723m ยังไงก็อยู่อย่างนั้นไปตลอด ทำให้หลายคนก็ยังตะขิดใจในการใช้ USDD อยู่ ยิ่ง Justin Sun เจ้าของ Tron Network มีชื่อเสียมาก่อนทำให้ตอกย้ำความไม่มั่นใจไปอีก แต่ปัจจุบันราคา USDD ก็กลับจาก 0.92 ดอลลาร์ขึ้นมายืนที่ 1 ดอลลาร์ได้นะครับ งงแหะ แต่ก็สรุปได้เลยว่าเป็นเพราะ Collateral ครับ
2. USN — Near
เป็น Fractional-Algorithmic Stablecoin ที่แก้ปัญหาตรงการพึ่งเหรียญที่คู่กันมากเกินไปของ UST กับ Reserve ที่มีแต่ Bitcoinโดยมีไอเดียประมาณนี้ครับ
UST ใช้หลักการ Mint&Burn คู่กับ Luna เท่านั้น ซึ่งข้อดีคือช่วงขาขึ้นจะเป็นการปั๊มราคา Luna ที่ดีมากๆ แต่ในทางตรงกันข้ามตอน UST หลุด Peg พร้อมๆกับตลาดขาลง ราคา Luna จะโดนเทขายอย่างหนักพร้อมทั้งโดนรุม Short และ Mint Luna ขึ้นมาเองตามกลไกลอีกด้วย ทำให้ตราบใดที่ UST ยังไม่กลับไป 1 ดอลลาร์ Luna ก็หมดอนาคตไปเรื่อยๆครับ
USN เปลี่ยนหลักการนั้นโดยควบเป็น
(1) การใช้ Near แลกกับ USN ส่วน Near ที่ได้มาจะเอาไป Delegate Staking ให้กับระบบทำให้ได้ทั้ง Staking Rewards มาเป็น Incentive การใช้งาน และยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบอีกด้วย
(2) Stableswap โดยเอา USDT มาแลก USN ได้ แล้ว USDT จะเก็บเข้าไปในคลังคอยใช้ดูแลรักษา USN ต่อไป
และมีการอัพเกรดอีกอย่างคือ Double-Collateral หมายถึงในช่วงแรกทาง Decentral bank ผู้สร้าง USN จะเพิ่มเงินในคลังสำรองในช่วงแรกเป็น 2 เท่า เช่น เริ่มมาจะเสก 50m USN ก็จะมี 50m USDT และ Near มูลค่า 50m เข้าไปในคลัง ทำให้อย่างน้อยในช่วงแรกที่คนยังไม่มั่นใจก็จะมั่นใจได้จากการมี Stablecoin รับรองอยู่จริง ส่วนเมื่อเวลาผ่านไป Total Supply ของ USN ก็จะเยอะขึ้นจนทำให้ 50m
ที่มากกว่าในตอนแรก 2 เท่าค่อยๆลดสัดส่วนลงเรื่อยๆ
แล้วก็มีรายละเอียดอีกนิดหน่อยเรื่องการบริหารเงินในคลังให้มีประสิทธิภาพและมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบ UST แตกได้อีก แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป 2 เดือน USN ก็ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่และมีหลุดไป 0.97 ดอลลาร์ในบางช่วง สุดท้ายวันนี้ก็ประกาศว่าตัวเองจะอัพเกรดเป็น USN v2 ครับ
USN v2 คือการยกเลิกการใช้ Near แลกกับ USN ไปก่อน ทำให้ตอนนี้จะเป็น Stablecoin-backed Stablecoin เท่านั้น ซึ่งในช่วงแรกมีแต่ USDT ก็เลยเรียกได้ว่า USN = USDT-Backed Stablecoin ครับ (USDC กับ DAI จะใช้ในอนาคต)
อย่างไรก็ตามโมเดลนี้จะไม่ได้ใช้ตลอดไป โดย Phase ถัดไปจะเป็นแบบ Over-Collateral แบบเดียวกับที่ DAI ของ MakerDAO ทำ ซึ่งเหรียญแรกจะใช้เป็น Near และจะเพิ่ม ETH, BTC ในอนาคต
บทสรุป
ผมเลยขอสรุปอย่างคร่าวๆว่า
Algorithmic Stablecoin โมเดล Mint&Burn ยังไม่ใช่โมเดลรากฐานที่มั่นคงครับ
เพราะเท่าที่ดูทั้งสองเหรียญนี้ไม่ได้ใช้ Algorithm ในการช่วยอีกแล้ว มีเพียง Collateral หรือสินทรัพย์ค้ำประกันเท่านั้นที่ทำให้คนมั่นใจในมูลค่าเหรียญได้ ซึ่งโมเดลที่ยั่งยืนนั้นจะเป็นอะไรก็ต้องเดากันต่อไป
ส่วนตัวผมชอบโมเดลของ UXD ของ UXD Protocol ที่ใช้ Cryptocurrency มาเป็น Collateral แล้วนำไป Short Hedge สินทรัพย์ตัวเดิมมาก เพราะปิดจุดอ่อนเรื่อง Scalability และ Liquidation ที่ DAI เจออยู่ได้เกือบหมด อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ อาจจะเพราะอยู่บน Solana ด้วย
ยังไงก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ DeFi ยังมีเรื่องให้พัฒนาได้อีกเยอะ ยังไม่นับเรื่อง Real-World Asset ที่ MakerDAO กับ Aave กำลังมุ่งไปทางนั้นอย่างหนัก ขอให้ทุกคนโชคดี ลงทุนอย่างระมัดระวัง เป็นกำลังใจให้ครับ : )